Thursday, November 16, 2006

5 ปี หลังการประชุมโดฮา...ยาแพงขึ้น

หลังจากการเสวนาว่าเมื่อวันอังคารที่ 14 พย 49 ที่เจนีวา เสร็จสิ้นลง องค์กรหมอไร้พรมแดน ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่ร่วมจัดในครั้งนี้ ได้เรียกร้อง กระตุ้นให้ประเทศต่างๆใช้มาตรการยืดหยุ่นในข้อตกลงทริปส์เพื่อลดราคายา เนื่องจาก ราคายาทั่วโลกกำลังมีราคาสูงขึ้นทุกขณะตลอดระยะเวลา 5 ปีหลังการลงนามคำประกาศโดฮาว่าด้วย “ข้อตกลงทริปส์และการสาธารณสุข” (Doha Declaration on TRIPS and Public Health) ขององค์การการค้าโลก (เรื่องWTO) เมื่อปี 2544 ที่ประเทศกาตาร์วิธีการที่จะทำให้ราคายาลดลงได้นั้น ประเทศต่างๆ ต้องใช้มาตรการยืดหยุ่น (TRIPS Flexibilities)มากขึ้น ดังที่ระบุไว้ในคำประกาศโดฮา “เพื่อปกป้องสาธารณสุข และสนับสนุนการเข้าถึงยาของทุกคน”

ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดที่สุดคือกรณีของโรคเอดส์การแข่งขันอย่างดุเดือดของยาชื่อสามัญทำให้ราคายาต้านไวรัสสูตรพื้นฐานราคาลดลงถึงร้อยละ 99 จากราคา 10,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อผู้ป่วยต่อปี เหลือเพียงประมาณ 130 ดอลลาร์สหรัฐต่อผู้ป่วยต่อปี ตั้งแต่ปี 2543 ขณะที่ยาต้านสูตรสำรอง (second-line drugs)ยังมีราคาแพงมากเพราะติดสิทธิบัตรทำให้เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมยาในหลายประเทศ เช่น ในอินเดีย และไทยไม่สามารถผลิตยาชื่อสามัญได้

ในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ องค์การหมอไร้พรมแดนให้ยาต้านไวรัสกับผู้ติดเชื้อฯมานานกว่า 5 ปี สามารถรักษาผู้ติดเชื้อที่ใช้ยาต้านไวรัสสูตรสำรองได้เพียง 58 คน ในราคายาที่รักษาผู้ติดเชื้อที่ใช้ยาต้านสูตรพื้นฐานได้ถึง 550 คน

ยิ่งไปกว่านั้นหากใช้ยาต้านไวรัสที่ใหม่กว่าตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกแนะนำและในประเทศนั้นๆสามารถหาซื้อได้ จะมีราคาสูงกว่าอีก 50 เท่า ยาเหล่านี้ไม่มีทางที่จะมีใช้ในประเทศต่างๆ ถ้าไม่มียาชื่อสามัญมาผลักดันให้ผู้ผลิตลดราคา และเพิ่มยาให้หาซื้อได้ในประเทศต่างๆ

“ในโครงการของเรา ราคายาที่สูงกำลังกระทบโดยตรงกับงบประมาณของเรา” นายแพทย์ Tido von Schoen-Angerer ผู้อำนวยการการรณรงค์การเข้าถึงยาที่สำคัญขององค์การหมอไร้พรมแดนกล่าว “เราเห็นหลายประเทศใช้มาตรการยืดหยุ่นในคำประกาศโดฮา นำเข้ายา แต่จะมีประโยชน์อะไร หากไม่มียาชื่อสามัญให้ซื้อ ดังนั้นประเทศที่มีอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญจะต้องอนุญาตให้มีการผลิตยาชื่อสามัญและส่งออกได้ ไม่เช่นนั้น เราจะกลับไปสู่จุดที่ศูนย์อีก เมื่อครั้งที่การรักษานั้นไกลเกินเอื้อม”

ทางด้านนายพอล คอว์ธอร์น ผู้อำนวยการองค์การหมอไร้พรมแดน เบลเยี่ยม (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเพื่อผลิตยาหรือนำเข้ายา มีความจำเป็นอย่างยิ่ง จากรายงานของธนาคารโลกที่นำเสนอในงานเอดส์โลก ที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้นำเสนอรายงาน “การประเมินผลทางเศรษฐกิจของความมีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายให้การรักษาเอชไอวีเอดส์ในประเทศไทย” (The Economic of Effective AIDS Treatment Evaluating Policy in Thailand) ที่ชื่นชมโครงการรการให้ยาต้านไวรัสในไทย ได้เสนอแนะให้รัฐบาลไทยหากลไกทางกฎหมายเพื่อทำให้ราคายา านไวรัสสูตรสำรองที่ต้องใช้ในโครงการหลักประกันสุขภาพมีราคาลดลง โดยระบุว่า ถ้ารัฐบาลไทยไม่ดำเนินการใดๆ จะต้องเพิ่มงบประมาณในโครงการถึง 5 เท่าในระยะเวลา 15 ปี

“สิ่งที่ธนาคารโลกเสนอแนะคือ ให้ไทยใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ (Compulsory License)หรือการใช้สิทธิโดยรัฐ(Government Use)เพื่อผลิตยาหรือนำเข้ายาซึ่งเป็นสิทธิของทุกประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) จากตัวเลขของธนาคารโลกชี้ว่า ด้วยการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิจะสามารถลดราคายาต้านไวรัสสูตรสำรองถึง 90% สามารถลดภาระงบประมาณแผ่นดินถึง 127,000 ล้านบาทในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า” ซึ่งการบังคับใช้สิทธิเป็นเรื่องถือปฏิบัติทั่วไปในประเทศพัฒนาแล้ว
แต่ในประเทศกำลังพัฒนาเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะรัฐบาลส่วนใหญ่เกรงการแซงชั่นจากรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งๆที่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของแต่ละประเทศ

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการองค์การหมอไร้พรมแดน เบลเยี่ยม(ประเทศไทย) กล่าวว่า การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ หรือการใช้สิทธิโดยรัฐ
กำลังได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาสังคมทั่วโลก และที่ผ่านมากรณีของไทยเป็นตัวอย่างที่ดีที่มีน้อยมากในโลก ที่ผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อฯ นักวิชาการ เภสัชกร ทนายความ องค์กรพัฒนาเอกชนทั้งในประเทศและระดับสากลร่วมมือกันทำงานเพื่อผลักดันการเข้าถึงยา
“แต่สิ่งที่ไทยยังขาดอยู่ คือ รัฐบาลที่มุ่งมั่นและกล้าหาญ ซึ่งเราหวังจะเห็นรัฐบาลเช่นนั้นในภาวะการณ์ปัจจุบัน”
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล

No comments: